7 หนัง LGBTQ+ ที่ต้องดู สะท้อนความรัก และอัตลักษณ์ทางเพศ
ในยุคที่โลกเปิดกว้าง และให้การยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQ+ ก็ได้รับความสนใจจากผู้ชมมากขึ้นเช่นกัน หนังเหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้ความบันเทิง แต่ยังสะท้อนอารมณ์ ความรัก ความเจ็บปวด และอุปสรรคที่ชุมชน LGBTQ+ ต้องเผชิญ วันนี้เราขอแนะนำ 7 หนัง LGBTQ+ ที่ต้องดู ซึ่งล้วนเป็นผลงานที่มีคุณค่า และควรค่าแก่การรับชม
Call Me by Your Name (2017)
หนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเกี่ยวกับความรักของชายรักชาย Call Me by Your Name กำกับโดย Luca Guadagnino สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ André Aciman
เรื่องราวเกิดขึ้นในอิตาลีช่วงปี 1980s โดยมีตัวละครหลักคือ เอลิโอ เพิร์ลแมน (รับบทโดย Timothée Chalamet) เด็กหนุ่มวัย 17 ปีที่ฉลาดและชื่นชอบดนตรี เขาได้พบกับ โอลิเวอร์ (รับบทโดย Armie Hammer) นักศึกษาฝึกงานชาวอเมริกันที่เดินทางมาศึกษาโบราณคดีและอาศัยอยู่กับครอบครัวของเอลิโอในช่วงฤดูร้อน
จากความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยความไม่แน่ใจ ค่อย ๆ พัฒนาไปเป็นความรักที่ลึกซึ้งและโรแมนติก หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยฉากที่แสดงถึงความรักแบบบริสุทธิ์และอารมณ์อันละเอียดอ่อนระหว่างตัวละคร ทั้งยังถ่ายทอดบรรยากาศของฤดูร้อนในอิตาลีได้อย่างงดงาม
สิ่งที่ทำให้ Call Me by Your Name เป็นที่จดจำคือ การแสดงที่ยอดเยี่ยม ของนักแสดงนำ โดยเฉพาะ Timothée Chalamet ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของเอลิโอได้อย่างสมจริง ประกอบกับดนตรีประกอบที่ไพเราะ ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ LGBTQ+ ที่ดีที่สุดตลอดกาล
Moonlight (2016)

ภาพยนตร์เจ้าของรางวัลออสการ์ Best Picture ประจำปี 2017 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทรงพลังที่สุดเกี่ยวกับ LGBTQ+ ที่เคยสร้างมา
เรื่องราวของ ไชรอน เด็กชายผิวดำที่เติบโตมาในย่านที่เต็มไปด้วยปัญหาทางสังคม โดยตัวภาพยนตร์แบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลาหลัก ได้แก่ วัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเดินทางของเขาในการค้นหาตัวเอง ท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมและครอบครัว
ไชรอนต้องเผชิญกับการกลั่นแกล้ง การใช้ความรุนแรง และการพยายามปฏิเสธตัวตนของตัวเอง หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของการเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ รวมถึงการต่อสู้ภายในจิตใจของเขาที่พยายามหาสถานที่ที่เขาจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้
ด้วยการกำกับของ Barry Jenkins และการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงหลัก ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวแทนของเสียงของ LGBTQ+ ผิวดำ และเป็นหนังที่มีอิทธิพลต่อสังคมอย่างมาก
Portrait of a Lady on Fire (2019)
ภาพยนตร์ฝรั่งเศสที่ถ่ายทอดความรักต้องห้ามระหว่างหญิงสองคนในศตวรรษที่ 18 กำกับโดย Céline Sciamma
เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ของฝรั่งเศส โดยมีตัวละครหลักคือ มารียานน์ จิตรกรหญิงที่ถูกว่าจ้างให้วาดภาพเหมือนของ เอลัวส์ หญิงสาวชนชั้นสูงที่กำลังจะต้องแต่งงาน แต่เธอไม่ยอมให้ใครวาดภาพของเธอ มารียานน์จึงต้องแอบสังเกตเธอ และวาดภาพของเธอโดยที่เธอไม่รู้ตัว
เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนก็ค่อย ๆ พัฒนาไปเป็นความรัก หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดอารมณ์ของความรักที่ต้องซ่อนเร้นได้อย่างงดงาม พร้อมด้วยภาพและการจัดแสงที่สวยงามราวกับงานศิลปะ
The Handmaiden (2016)
ภาพยนตร์เกาหลีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยาย Fingersmith ของ Sarah Waters แต่ถูกนำมาปรับแต่งให้เข้ากับบรรยากาศของเกาหลีในยุค 1930s กำกับโดย Park Chan-wook
หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและการหักมุมที่น่าตื่นเต้น เรื่องราวเกี่ยวกับ ซุกฮี หญิงสาวที่ได้รับว่าจ้างให้เป็นสาวใช้ของ เลดี้ฮิเดโกะ หญิงสาวผู้มั่งคั่ง แต่เบื้องหลังคือแผนการหลอกลวงเพื่อขโมยทรัพย์สินของเธอ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับกลายเป็นความรักที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่คาดคิด
หนังเรื่องนี้มีภาพที่งดงาม และเล่าเรื่องอย่างชาญฉลาด ด้วยฉากที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และความหมายแฝง
Carol (2015)

เรื่องราวความรักต้องห้ามระหว่าง แครอล แอร์ด หญิงสาวชนชั้นสูงที่ติดอยู่ในชีวิตสมรสที่ไม่มีความสุข กับ เทเรซ เบลีเว็ต หญิงสาวที่ทำงานในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในนิวยอร์กช่วงยุค 1950s ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มต้นจากความสนใจและความหลงใหล ก่อนที่จะค่อย ๆ พัฒนาเป็นความรักที่ลึกซึ้ง
หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงอุปสรรคของหญิงรักหญิงในยุคที่สังคมยังไม่เปิดกว้าง โดยแครอลต้องเผชิญกับการต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อสิทธิในการเลี้ยงดูลูกของเธอ หลังจากที่สามีของเธอพยายามใช้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเทเรซเป็นข้ออ้างในการพรากสิทธิของเธอไป ขณะที่เทเรซเองก็กำลังค้นหาตัวตนและเป้าหมายของชีวิต
Carol เป็นภาพยนตร์ที่มีความงดงามทั้งด้านภาพและการเล่าเรื่อง ด้วยบรรยากาศที่ละเอียดอ่อนและการแสดงที่ยอดเยี่ยมจาก Cate Blanchett และ Rooney Mara ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ LGBTQ+ ที่ได้รับคำชมมากที่สุด ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์และรางวัลอื่น ๆ มากมาย
Brokeback Mountain (2005)
หนึ่งในภาพยนตร์ LGBTQ+ ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด เป็นเรื่องราวของความรักที่ต้องถูกเก็บซ่อนระหว่าง แจ็ค ทวิสต์ และ เอนนิส เดล มาร์ สองคาวบอยที่ต้องทำงานร่วมกันบนภูเขา Brokeback ในรัฐไวโอมิง
แม้ว่าพวกเขาจะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง แต่พวกเขาก็ยังคงกลับมาพบกันตลอดหลายปี หนังเรื่องนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างความรู้สึกส่วนตัวและข้อจำกัดของสังคม
Love Simon (2018)

หนึ่งในภาพยนตร์แนวโรแมนติก-คอมเมดี้ LGBTQ+ ที่เหมาะสำหรับวัยรุ่น Love, Simon เป็นเรื่องราวของ ไซมอน สไปเออร์ เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ดูเหมือนจะมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เขามีครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อนที่ดี และทุกอย่างในชีวิตก็ดูปกติ ยกเว้นเพียงเรื่องเดียว เขายังไม่ได้เปิดเผยตัวตนว่าเป็นเกย์ให้ใครรู้
ไซมอนได้เริ่มต้นการพูดคุยออนไลน์กับคนที่ใช้นามแฝงว่า Blue ซึ่งเป็นนักเรียนในโรงเรียนเดียวกันที่ยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนเช่นกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มลึกซึ้งขึ้นผ่านการแลกเปลี่ยนอีเมล จนกระทั่งมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้ไซมอนต้องเผชิญหน้ากับการเปิดเผยตัวเองต่อครอบครัวและเพื่อน ๆ
Love, Simon เป็นหนังที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและแง่มุมเชิงบวกเกี่ยวกับการค้นหาตัวเองและการยอมรับตัวเอง หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ LGBTQ+ เรื่องแรก ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสตูดิโอใหญ่และมีเนื้อหาที่เข้าถึงง่ายสำหรับผู้ชมทั่วไป นอกจากนี้ หนังยังส่งสารสำคัญเกี่ยวกับความสำคัญของการได้รับการยอมรับจากสังคมและครอบครัว
อ่านบทความที่น่าสนใจ
หนังทั้ง 7 เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นหนังที่ให้ความบันเทิง แต่ยังสะท้อนถึงความหลากหลายทางเพศและปัญหาที่ชุมชน LGBTQ+ ต้องเผชิญ หวังว่าภาพยนตร์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ชมเข้าใจและยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น